วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

“เมียนมาร์” เที่ยวก่อน…ผ่อนทีหลัง(2) “อรุณรุ่ง”ศิลาศรัทธา.. มุ่งหน้าสู่ “หงสาวดี”

..ตี 4กว่าๆ จำใจลาจากผ้าห่มอุ่นหนาที่ทบกันสองผืน ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บลมแรงๆ หมอกจางๆ ฟ้ายังไม่ทันสาง ก็ฝ่าความมืดบุกขึ้นยอดเขาด้วยเท้าเปล่า เพื่อทำบุญสักการะพระธาตุอินทร์แขวนแต่เช้าตรู่..


 เนื่องจากพวกเรามีนัดกับคนขับรถไว้ 9  โมงเช้า แล้วพวกเราต้องนั่งรถขนหมู ใช้เวลาอีกราวๆ 45 นาที จึงต้องเผื่อเวลาทำบุญ ชมวิวไว้แต่เช้า



     

         รัตติกาลยังปกคลุมผืนฟ้าดวงจันทร์ยังเด่นกระจ่าง รอคอยแสงแรกของวันใหม่ พลันเมื่อฟ้าเปลี่ยนสี ทะลหมอกค่อยโผล่พ้น ลอยละอองปุยนุ่นโอบกอดทิวเขา เป็นภาพงดงาม




ชื่นชมความงามของหมอกยามเช้าบนยอดภูจนจุใจ พวกเราก็ลงมาเก็บของที่โรงแรม กินอาหารเช้าที่โรงแรม ซึ่งมี”ออมเล็ต” ไข่เจียวแบบว่าไม่ปรุงรสเลยแล้วก็ไม่มีซอสมะเขือเทศด้วย กินแกล้มขนมปัง 2 แผ่น แล้วก็มีกล้วยหอมเหี่ยวๆ ดำๆ วางให้บนโต๊ะ แต่ดูไม่มีใครแตะต้องกล้วยเหี่ยว เอ้ย กล้วยหอมเหล่านั้นเลย





แล้วเพื่อรอขึ้นรถขนหมูเดินทางกลับไปที่ย่างกรุง และแวะเที่ยวในเมืองหงสาวดี ระหว่างทางจะมีเด็กๆนำของมาขายผู้โดยสารเป็นระยะๆ พร้อมกับด่านบุญที่จะมีคนคอยถือขันใบเขื่องมายื่นขอรับบริจาคอยู่ตามรายทาง






เป้าหมายแรกของเราคือร้านอาหาร Shwe Li Restaurant อร่อยหรือไม่..ไม่รู้ แต่หนังสือนำเที่ยวพม่าแนะนำมา ก็ถือว่ารสชาดโอเค เป็นอาหารจีนสไตล์เมียนมาร์ แบบว่าหิวจนลืมถ่ายรูป55++


     อิ่มท้องแล้วแวะชม “พระไฝเลื่อน” ที่วัดไจ๊ป๋อรอ อายุกว่า 2 พันปี ตำนานเล่าว่า ไฝที่อยู่ขมับด้านขวามือขององค์พระนั้น ไม่ว่าจะปิดทองเท่าไหร่ ไฝนั้นจะไม่ถูกทับหาย?!!

พระไฝเลื่อน..สังเกตที่ขมับขวาจ๊ะ
     
 
       เมือมาเยือนหงสาวดี ต้องแวะ พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอว์ หรือ พระธาตุมุเตา  เป็นเจดีย์โบราณ ซึ่งสูงที่สุดในพม่า สร้างสมัยเดียวกับเจดีย์ชเวดากอง ภายในเจดีย์บรรจุพระเขี้ยวแก้ว ในอดีตเคยเกิดแผ่นดินไหวทำให้ยอดเจดีย์หักลงมา และยังคงเป็นรักษายอดเจดีย์ไว้อย่างเดียว จนกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของวัดแห่งนี้







ต่อจากนั้น เข้านมัสการพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว  เป็นพระนอนที่งดงามที่สุดของพม่า ตาหวาน คิ้วโก่ง ปากชมพู ผิวขาวเนียน..



แล้วปิดทริปวันนี้ด้วย เจดีย์ไจ๊ปุ่น มีพระพุทธรูปปางประทับนั่งโดยรอบ 4 ทิศ สูง 30 เมตร



แถมที่พักราคา 1,400 บาท มี wifi ฟรี เย้ๆ แต่ถ้าเป็นโรงแรมแรก 3,000 บาท มันคิด wifi นาทีละบาท มหาโหดมากก
            ช่วงเวลาที่เรารอคอยก็มาถึง..”.เบียร์พม่า” 800 จ๊าด เท่ากับ 25 บาท 

ค่ำคืนนี้ จึงได้ชิวๆ กับฟองนุ่มๆ จนหน่ำใจ อิอิ ..ฟินฝุดๆ ก่อนหลับสบายใต้ผ้าห่มนุ่มหนา..แล้วค่อยไปแสวงบุญกันต่อ อิอิ...


           

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

“เมียนมาร์” เที่ยวก่อน…ผ่อนทีหลัง (1) ขอพร..ก้อนหินศักดิ์สิทธิ์


            หลังจากเคยร่วมผจญทริปกับกลุ่มเพื่อนสาวเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2556 เขาคิชกูฏ” จ.จันทบุรี  คราวนั้น ได้ซื้อโปสเตอร์หนึ่งใบมาเก็บไว้เป็นที่ระลึก เป็นรูปก้อนหินศักดิ์สิทธิ์แห่งยอดเขาคิชกูฏ เคียงคู่กับ พระธาตุอินทร์แขวน ประเทศพม่า





             ในใจก็คิดเหม่อลอยว่าอยากจะไปที่นี่จัง แต่ดูงบประมาณ..เศษสตางค์ในกระเป๋าแล้วได้แต่ถอนใจ แค่พม่ายังไม่มีโอกาสได้ไปหรอก..พวกมนุษย์เงินเดือนชั้นต่ำ (ฮ่าๆ)
            เพื่อนสาวรบเร้าบ่อยครั้ง อยากไปเที่ยวโน้นนี่กัน “ทริปพม่า” ก็ลอยมาอยู่เนืองๆ พอเสนองบประมาณมาว่าราว 2 หมื่นบาท ก็ต่อรองไปว่า งบขนาดนั้น ตรูมีปัญญาหรอก มีแค่ 5 พันเที่ยวไทย (เอาเข้าจริงก็เกินงบฯ..ค่าเบียร์งอก ..ตลอด555++)งึมๆ 2 หมื่น...นี่มันชีวิตตรูทั้งเดือนเลยน่ะ!!



            พยายามของเพื่อนยังไม่ลดละมาเสนอโปรโมรชั่นใหม่ล่าสุด 1.2หมื่นบาท...เริ่มลังเลแต่ยังไม่สามารถ..จึงเสนอขอผ่อน 0 %  4 เดือน แต่ถ้าเกินจากนี้จะขยับเป็น 6 เดือนนะ(อิอิ) เจ้าหนี้กลัว “ลูกหนี้” เล่นตัว เลยรีบมาขอรูปไปทำวีซ่า จองตั๋วเครื่องบินราคาถูก จองโรงแรม ไลน์โปรแกรมทัวร์มาให้พร้อมสรรพ 55++
            แล้วทริปพม่า 4 คืน 5 วัน กับพวกเราสามสี่คนก็เริ่มต้นขึ้น...ณ บัดนาวววว



เวลา 10.00น. วันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 เรานัดเจอกันสนามบินดอนเมือง ตื่นเต้นจัดมาก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง(นอนตี 2 ตื่นตี4) เจอที่ชั่งกระเป๋าพอดี ป้าดๆๆ 9 กิโลกว่า ต้องลดน้ำหนักด่วนให้เหลือ 7 กิโล เพราะถ้าเกิน 7 กิโลต้องโหลดกระเป๋า 




พวกเราจะไม่ยอมเสียเงินค่าโหลดกระเป๋าใบละ 500 บาทเด็ดขาด ว่าแล้วก็ดึงกระเป๋าโน๊ตบุ๊กออกมาให้เพื่อนเฉลี่ยน้ำหนัก เอาเสื้อกันหนาวตัวเขื่องมาสวมทับเหมือนกำลังเข้าคอร์สละลายไขมัน 555++ และแล้วก็เหลือ 6 โลแก่ๆ เย้ๆๆ Let’go…แต่ดันหิวข้าว จำใจกินข้าวหมูแดงจานละ 200 บาทโหดสัส แทบจะกลืนจานชามช้อนเข้าไปให้คุ้ม(ฮา)



            โชคดีได้ที่นั่งริมหน้าต่างชมวิว..แต่แป๊บเดียวก็เผลอหลับตื่นมาอ้าวจะถึงแล้วเหรอ...แค่ชั่วโมงนิดๆ พวกเราก็มาถึงสนามบินย่างกุ้ง เม็งกาลาดง ราวๆ เที่ยงครึ่ง ทั้งนี้เวลาที่พม่าช้ากว่าเมืองไทยครึ่งชั่วโมง
            ทำโน่นนี่ผ่านด่านเจอไกด์พม่าที่เพื่อนสาวติดต่อพูดคุยกันแรมเดือนผ่านอีเมลซึ่งเขาได้จองรถ หาโรงแรม ไว้ให้พวกเราแล้ว แล้วก็บอกว่าให้พวกเราไปกับ คุณ " Thet Lwin" หนุ่มใหญ่ใจดี เขาจะเป็นคนขับรถ และไกด์ทัวร์ให้พวกเราตลอดทริป



            พอนั่งรถปุ๊บก็ปรับสมองนิดหน่อย ที่นี่เขาพูดแต่ภาษาอังกฤษ แบบว่า ภาษาอังกฤษงูปลาๆแบบชั้นก็เงิบๆ แต่ก็ยังพอฟังรู้เรื่องแค่ชั้นพูดไม่ได้เท่านั้นเอง อิอิ
ราว 2 ชั่วโมง เขาก็พาเรามุ่งหน้าสู่ “คิมปูนแค้มป์” ด้วยอัตราความเร็ว 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถที่นี่ขับชิดขวา ส่วนรถมีทั้งพวงมาลัยมีทั้งซ้ายและขวา พวงมาลัยขวานี่เวลาจะแซงก็ลุ้นๆ แต่สักพักเริ่มชิน รถที่นี่เขาใช้สัญญาณแตรคุ้มจริงๆ จะแซงก็บีบแตร คนจะข้ามถนนอีก 100 เมตรข้างหน้าก็บีบแตรเตือน  ถ้าเป็นบ้านเราจะแปรเสียงแตรรถเป็นเสียงก่นด่า.. “ด่า” เท่าที่จำเป็นเท่านั้น 55++


พอขึ้นรถปุ๊บก็หิวข้าวปั๊บ..โชว์เฟอร์ถามว่า จะกินอาหารพม่า หรือ อาหารจีน เถียงกันไปมาสรุปที่ อาหารพม่า แล้วก็พบกับน้ำมันเยิ้มๆ ข้าวเยอะๆ ริมถนนแห่งหนึ่งก่อนถึงเมืองหงสาววดี


พอท้องอิ่มแบบเลี่ยนๆ เราก็เดินทางกันต่อ ระหว่างทางได้เห็นสะพานข้ามแม่น้ำสะโตง  เคยเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ สมัยพระนเรศวรกำลังรวบรวมคนไทยกลับอโยธยา ถูกทหารพม่าไล่ตามมา “สุรกรรม “ มาเป็นกองหน้า พระมหาอุปราชเป็นกองหลวง ยกติดตามกองทัพไทยมา กองหน้าของพม่า ตามมาทันที่ริมฝั่งแม่น้ำ แต่ไทยข้ามแม่น้ำมาแล้ว พระนเรศวรคอยป้องกันไม่ให้ข้าศึกตามมา และใช้พระแสงปืนคาบชุดยาวเก้าคืบถูกสุรกรรมาเสียชีวิตบนคอช้าง ทัพพม่าขวัญเสียถอยทัพกลับกรุงหงสาวดี(bago)


แล้วพวกเราก็มาถึงเป้าหมาย แต่ต้องต่อรถขนหมูไปอีกราว 45 นาที เพื่อไปพักที่โรงแรมบนยอดเขา Mountian Top Hotel คืนละ 3,000 กว่าบาท พอเก็บกระเป๋าเข้าที่พัก 



แล้วพวกเรารีบตรงดิ่งไปนมัสการพระธาตุอินทร์แขวน 1 ใน 6 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คู่เมืองพม่า พระธาตุประจำปีจอ ตั้งอยู่เมืองไจ้ก๋โถ๋ อ.สะเทิม เขตรัฐมอญ พม่า










       ต้องถอดรองเท้าไว้ตั้งแต่เข้าประตูกำแพงวัด แล้วเดินเท้าเปล่าเกือบ 1 โลไปสักการะพระธาตุ... พอเสร็จจากไหว้พระธาตุด้วยความหิวโฮก ตาลาย เลยแวะกินหน้าโรงแรม เข้านอนแบบว่า แทบไม่อยากอาบน้ำ อากาศหนาวเย็นเอาเรื่อง แต่ก็ยอมอาบแต่โดยดี เพราะทนกลิ่นพม่าๆ ติดตัวมาทั้งวันไม่ไหว 555




ก่อนหลับสบายแทบลืมตื่น แต่ภารกิจยังรออยู่ แต่เช้าตรู่....ราตรีสวัสดิ์.....^^"


วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เดี่ยว”อนุชัย”...แสงกับภาพถ่าย

        บ่าย 2 โมงตรงเป๊ะ ..เสาร์ที่ 13 กรกฎาคม 2556 @ บลจ.กรุงศรี ชั้น 1 อาคารเพลินจิต ทาวเวอร์  ฉันมีนัดกับ "อนุชัย ศรีจรูญพู่ทอง" ช่างภาพโฆษณาอันดับ 1ของเมืองไทย หลังจากเอาแต้มสะสมในบัตรเคดิต 999 คะแนน ไปขอรับสิทธิ์ ด้วยการส่งข้อความไปที่ PH 455XXXXXXXX แล้วก็มีข้อความส่งกลับมาว่า “ขอโทษค่ะ ท่านไม่สามารถลงทะเบียนได้ เนื่องจากสิ้นสุดระยะเวลาโปรโมรชั่น” ..แป่ววว!!! แต่เหมือนโชคเข้าข้าง อีก 2 วันต่อมา มีเจ้าหน้าติดต่อมาเชิญให้ไปร่วมกิจกรรมถ่ายภาพ โดยบอกว่ามีผู้สละสิทธิ์ อิชั้นเลยได้สิทธิ์นั่นเดี๋ยวนี้ (อิอิ)


               “อนุชัย” เป็นคนตรงต่อเวลามาก อาจเป็นคุณสมบัติที่ดีของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะทุกเวลาและนาทีของพวกเขามันคงมีมูลค่ามหาศาล..เริ่มกันเลยดีกว่า กับบรรยากาศสนุกๆ ตลอด 2 ชั่วโมง แม้จะไม่ได้ความรู้อะไรมากนัก แต่ได้ “ความฮา” มาเต็มกระปุงโกย พี่แกฮามาก เพราะแกบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกับ “โน๊ต-อุดม”  งานนี้จึงรู้สึกเหมือนได้มาฟัง “เดี่ยว-อนุชัย”

               ช่วงครึ่งชั่วโมงแรก “อนุชัย” เล่าถึงเรื่องราวของตัวเองที่ต้องถูกเชิญมาเป็นวิทยากรตามงานต่างๆ และมีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาถูกเทียบเชิญไปพูดให้ผู้บริหารบริษัททรูฯ ฟัง เขาออกตัวว่า ไม่เคยพูดให้ผู้บริหารฟัง เคยพูดแต่ให้ชาวบ้านฟังตามงานวัด งานปาหี่ นี่ผมจะถนัด


 ผู้เทียบเชิญ จะเรียก “อนุชัย” ว่าอาจารย์อนุชัย ทุกครั้ง จนเขาต้องบอกไปว่า ผมยังไม่มีสำนัก อย่าง อาจารย์หนู หรือเณร...อะไรงี้นะ แต่ตอนนี้ผมจะเลิกถ่ายรูปแล้ว อยากจะเป็นเป็นเกจิ(ฮา) แล้วจะเชิญไปพูดเรื่องอะไร ผมพูดจาเฮียนะ พูดไอ่สาด ไอ่เฮีย เลยนะ

               อีก 3 วันต่อมา ผู้เทียบเชิญเสียงหวานคนเดิม ก็ติดต่อกลับมาอีก แต่ตอนนี้เรียก “คุณอนุชัย” ผมว่าเธอคงเข้าใจโลกแล้ว ผมจึงถามว่ามีใครมาพูดอีกบ้าง เธอว่า ดร.สุเมธ สันติเวชกุล ผมก็...โอ้ววว ไม่ใช่แล้ว แล้วผู้เทียบเชิญเสียงหวาน ก็เลิกล้มความคิด แล้วบอกว่า เดี๋ยวผู้บริหารฯ จะติดต่อกลับมานะคะ
               ผู้บริหาร : เฮ้ย นี่กรูเกษม นะ
               อนุชัย : เกษมโปลีคลีนิครึเป่า (รู้แล้วว่าใคร)
ผู้บริหาร : นี่เมิงกวนประสาทลูกน้องกรู ก็มึงพูดเชี้ย  เลยจะเชิญมา
อนุชัย: มาฟังผมทรูจะเจ๊งได้เลยนะ ผมกลัวมากเลย คนที่มาฟังเขาเป็นคนตลกรึเปล่า ตกใจง่ายมั้ย ผมต้องอนุญาติให้ดมยาดมได้นะ เพราะเวลาผมพูดจะเชิญสิงสาราสัตว์ พ่อขุนราม มาหมด  



ที่เกริ่นมาทั้งหมดนี่ “อนุชัย” ออกตัวว่า เขาเป็นคนพูดจับฉ่าย และงานกิจกรรมอบรมถ่ายภาพ ซึ่งจัดเป็นครั้งแรกของฝ่ายบริการลูกค้าบัตรเครดิตกรุงศรีฯ คนมาฟังขั้นเทพมั้ย คือ คนส่วนใหญ่มองว่า “อนุชัย” เป็นช่างภาพขั้นเทพ แต่เขายืนยันว่าไม่ใช่เทพ แต่รู้จักและนับถือเทพอยู่ 3 คน คนแรก “เทพ เทียนชัย” คนนี้ตายไปแล้ว “ เทพ โพธิ์งาม” และ “เทพชัย หย่อง” คนนี้มีความรู้  ตอนนี้ผมกินข้าว ถ้าผมกินลมได้ ก็คงเริ่มเป็น “เทพ” แล้ว (ฮา
เกือบชั่วโมงผ่านไป..(เกือบๆ จะเข้าประเด็น (ฮ่าๆ) “อนุชัย” เผยเคล็ดลับการถ่ายภาพว่า “ ถ้าคนอื่นเห็นทำแล้ว เราอย่าทำ  รวมกันเราตาย แยกกันเราอยู่”  โดยขยายความว่า แม้ว่ามุมนี้สวยมาก แต่มีคนถ่ายอยู่แล้ว เราจะไม่ซ้อนหลัง ถ้ามันเป็นมุมที่สวยจริงๆ เราก็ถ่ายเพื่อเก็บไว้เท่านั้น
ดูเหมือนว่า”อนุชัย”จะเป็นคนที่มีเรื่องเล่ามากมาย และพวกเราที่นั่งอยู่ในห้องก็ไม่มีใครรู้สึกเบื่อกับเรื่องของเขา !!



“ เทคโนโลยีทำให้เข้าถึงสิ่งต่างๆได้ง่าย แต่มหาวิทยาลัยกลับสอนเด็กให้คนโง่ลง อาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ปรับตัว ผมไปนิวซีแลนด์ เขายังสอนกล้องฟิล์มอยู่  ทั้งที่จริงใช้กล้องดิจิตอลก็ได้ แค่เอาสก็อตเทปปิดหลังจอ การ์ดมีความจุเท่าไหร่ให้ตั้งไว้แค่ 36 รูป ห้ามลบรูปทิ้ง แค่ให้โจทย์เดิมๆ เด็กจะเข้าสกิลเดิม ..”

แล้ว “อนุชัย” ก็แอบนินทาเด็กฝึกงาน 55++ เด็กฝึกงานชอบคิดว่าไม่ได้อะไร เด็กที่มาฝึกงานที่นี่ เสมือนปลูกต้นไม้ ที่ต้องหาน้ำแดกเอง ต้องคอยสังเกต และจำจำเอาเอง เวลาว่างๆ ค่อยมานั่งคุยกัน บางคนผมใช้ไปซื้อข้าวมันไก่ ซื้อกระดาษ มองอีกแง่หนึ่ง ก็จะได้รู้ว่าข้าวมันไก่ที่ไหนอร่อยจะได้ซื้อไปให้คนที่บ้านกิน ร้านไหนที่ขายกระดาษแผ่นยาวๆที่ร้านขายเครื่องเขียนไม่มี  เราทำอาชีพ ลูกค้าคงไม่ได้ต้องการได้งานที่เด็กฝึกงานทำ ไม่มีพวกคุณ บริษัทก็อยู่ได้  แต่พวกคุณมาแย่งอากาศ ห้องยิ่งเล็กอยู่ เข้าห้องน้ำก็กดน้ำเสียตังค์ แดกน้ำไปกี่แก้ว กูซื้อทั้งนั้นไม่ได้เสกมา แล้วเมิงยังชวนลูกน้องกรูไปกินเหล้า มาเป่าหูลูกน้องกรูอีก บล่าๆๆ..(จริงแล้วเขาเล่าฮามาก สงสัยมีปมกับเด็กฝึกงาน55++)



เริ่มกลับเข้าโหมดปกติ ..”อนุชัย” เอารูปที่ได้รับรางวัลจากเมืองคานส์มาโชว์ เล่าถึงที่มาที่ไปของภาพ ที่ถ่ายมาจากบึงฉวาก โดยควบคุมเรื่องแสง แสงที่สวยที่สุดคือแสง 45 องศา ส่วนกล้องที่ใครจะเลือกใช้รุ่นยี่ห้ออะไรนั้น เขาบอกว่าแล้วแต่กำลังทรัพย์ใครจะซื้อเฟอร์รารีมาขับ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขี่ช้างจับตั๊กแตน หรือถ้ารวยมาก มีเงินเหลือเยอะ   ทั้งนี้ “ความอเมซิ่งของภาพถ่าย “ มันอยู่ที่ตาใคร คือมันแข่งขันกันที่ลูกตา ไม่นับฝีมือ

และแล้วก็เข้าประเด็น “อนุชัย” สอนเรื่องแสงHigh key” กับlow key!!!
High Key  ทุกอย่างสว่างหมด แสงเข้าหมด ส่วนlow key แสงน้อยเน้นอารมณ์ น่าเกรงขาม เป็นภาพที่เน้นอารมณ์เป็นหลัก ไม่ต้องการให้เห็นรายละเอียด





ต่อด้วย “ทิศทางของแสง”  “แสงด้านหน้า”  แสงจากแฟลช จะให้ความรู้สึกแข็ง มีเงาอยู่ด้านหลัง อย่างภาพถ่ายจาก ไอโฟน ทุกคนจะกลัวแสงแฟลชมาก เพราะถ่ายมาแล้วหน้าเชี้ยเลย แถมตาแดงจุดๆ อีก ทั้งนี้ แสงด้านหน้า จะเป็นข้อยกเว้นของภาพข่าว ที่ต้องการจับจังหวะของภาพข่าวนั้น
“แสงจากขวามือ” ในระดับ 45 องศาจะสวยสุด หรืออาจใช้เปิดรูรับแสงช่วย  ส่วนแสงธรรมชาติที่สวย คือช่วงเช้า 9-10 โมง และช่วงบ่าย 2 โมงเป็นต้นไป ส่วนตอนเที่ยง ก็กินข้าวนั่งฟังเพลงไป
“แสงจากด้านหลัง” เทคนิคแสงแบบนี้ จะใช้ในการถ่ายทำภาพยนต์ เพื่อให้ภาพดูมีมิติ มีริมไลท์
“แสงด้านบน”  จะให้ความความลึกลับ แสงลักษณะนี้ เวลาถ่ายคนลูกค้าจะบ่น เพราะจะเห็นถุงใต้ตา(ฮา)  



(เริ่มนอกเรื่อง..เบรคอารมณ์กลัวคนฟังเบื่อ อิอิ) เคยมีรายการดิไอดอล “เปอร์” (สุวิกรม อัมระนันทน์)มาสัมภาษณ์ ผมเสียดายความหล่อ เขาถามว่าถึงแรงบันดาลใจในการถ่ายรูป ซึ่งผมจะเกลียดคำถามนี้มาก ผมตอบไปว่า ผมนับถือหลวงพ่ออยู่ 3 องค์ คือ  หลวงพ่อชอบ หลวงพ่อเงิน และหลวงพ่อสด  มันก็ทำหน้า งง (แบบว่าไม่เข้าใจมุก) จึงขยายความว่า ชอบ คือชอบทำในสิ่งที่อยากทำ  เงิน ก็ช่วยหล่อเลียงชีวิต และสด งานต้องมีความสด แล้วก็ถามต่อว่า พี่คับ อาชีพพี่ไม่ใช่ศิลปะชั้นสูง  แต่รับใช้พานิชศิลป์ ผมก็บอกว่า ถ้าศิลปชั้นสูง พี่ก็พอจะมีเพื่อนที่ทำงานอยู่ชั้น 83 ตึกใบหยกนะ แต่ก็ยังไม่เก็ต 55++

เข้าเรื่อง “ แสงด้านล่าง “ แสงลักษณะนี้ ภาพยนต์เกาหลีชอบใช้ ถ้าบ้านไม่ค่อยใช้เพราะมันดูน่ากลัว ลองเอาผ้าขนหนูคลุมหัวแล้วเอาไฟฉายส่องใต้คางดูซิ(ฮา) ในที่สุดก็จบภาคทฤษฎี “อนุชัย”บอกว่า วันนี้มีสาระที่สุุดแล้วที่ผมสอนมา ..555+


ท้ายชั่วโมงก่อนจบคอร์ส “อนุชัย” นำผลงานถ่ายโฆษณาของเขามาให้ดู ...ช่วยเปิดมุมมองและความคิดได้มากมายที่เดียว “แสง” มุมมอง และอารณ์ มันสำคัญมากๆ กับงานโฆษณา รวมถึงความคิดไอเดีย

แล้วก็ถึงภาคปฏิบัติถ่ายภาพนางแบบสาวชาวรัสเซีย ในชุดสีขาวครีม ซึ่งเธอมาโพสต์ท่าพริ้วไหวให้ทุกคนได้รัวชัตเตอร์กันหลายร้อยเฟรม แต่จะมีสักเฟรมไหม..ของฉันที่มัน “พอดูได้”...555++




         ถึงเวลามาเปิดรูปดู...มันก็ยัง งง!! เรื่องแสง?  แต่ภาพมันก็ดูสวยทุกรูปง่า เพราะ "นางแบบ" สวย "พี่ลีโอ" ว่างั้นปะ ..^^