วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Walking Tour : ทอดน่อง..ท่อง"ราชดำเนิน"(1)

    การเดินทางเพียงลำพังอาจจะดูโดดเดียว แต่รับรองว่าจะไม่เหงา ถ้ามีเพื่อนดีๆ สักเล่ม “Walking Tour : ทอดน่องท่องประวัติศาสตร์”        
      เพื่อนเล่มนี้ จะคอยบอกเล่าเรื่องราวระหว่างทางจาก “ราชดำเนิน”สู่ “ราษฎรเดินนำ” เขาจะคอยกระซิบบอกร่องรอยอดีตของถนนเส้นนี้ ทำให้เข้าใจ "ราชดำเนิน" มากกว่าที่ตาเห็น ^^


  


       เพื่อนเล่มนี้ จะเริ่มเดินตั้งแต่หมุดเริ่มต้นประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินนอก เข้าสู่ถนนราชดำเนินกลาง แล้วเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์!!
     แต่ฉันขอดำเนินสะดวกดีกว่า(ฮา) เพราะล่องเรือมาจากคลองแสนแสบมาถึงคลองมหานาค เลยเริ่มต้นที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศไปสิ้นสุดที่หมุดประชาธิปไตย




       




















    บ่ายแก่ๆของเดือนมิถุนายน 2554 ฉันขึ้นรถลงเรือมาถึงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ข้ามคลองบางลำพู สะพานแห่งนี้


   






         เพื่อนกระซิบบอกว่า “นี่เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อของ”ราชดำเนินนอก”กับ”ราชดำเนินกลาง” เวลาม็อบเคลื่อนขบวนจะถูกบีบตัวช่วงสะพานนี้ จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการตั้งแนวลวดหนาม เพื่อสกัดกั้นการชุมนุมครั้งสำคัญๆที่ผ่านมา”


        อ๋อมิน่า…จุดยุทธศาสตร์แห่งนี้ จึงถูกทลายกลายเป็นเวทียุทธศาสตร์ของนักเคลื่อนไหว(เสื้อแดง)ไปซะแล้ว (ฮา)


          เป้าหมายต่อไป “พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัว” สร้างสมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งเดิมเป็นร้านตัดสูทที่ทันสมัยที่สุดในยุค รัชกาลที่6 พอเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ก็กลายมาเป็นกรมโยธาธิการ ก่อนจะกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน




   เดินยาวๆ ลมเย็นๆ ดอกมะขามร่วงเกลื่อนกราวอยู่บนพื้นคอนกรีต ใต้ร่มเงาร่มรื่น ก็เลยเถิดมาถึง “เวทีมวยราชดำเนิน” ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.




            เรื่อยเปื่อยมาถึงแยก จปร.  เจอกองบัญชาการกองทัพบก เดิมเป็นเรือนนอนของนักเรียนนายร้อยทหารบก เมื่อเช้าตรู่ของวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง นักเรียนบางส่วนถูกลวงไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า


     
       มาเรื่อยๆ ก็เจอคลองผดุงกรุงเกษม พบสะพานข้ามคลองที่สวยเลิศเหมือนดังอยู่เวนิส(อิอิ) “สะพานมัฆวานรังสรรค์” สถานที่แห่งนี้ ทำให้ “ร้อยเอกอาทิตย์ กำลังเอก” กลายเป็น “วีรบุรูษสะพานมัฆวาน” หลังจากห้ามทัพขบวนนักศึกษาที่ประท้วงการเลือกตั้งสกปรกในยุคจอมพล ป.ไม่ให้เกิดการปะทะและนองเลือด














        






        เอาละซี..ยุคนี้ สะพานมัฆวานถูกยึดเป็นยุทธศาตร์เคลื่อนไหวของคนเสื้อเหลือง วันนี้พวกเขาก็ยังอยู่ มาชักชวนให้ “โหวตN0”




           “ทำเนียบรัฐบาล” เห็นเพียงเงาๆ เพราะล้อมกรอบไปด้วยรั้วลวดหนาม ถูกกั้นไม่ใช้เข้าใกล้รัศมีอยู่หลายเมตร เพราะถูกล้อมด้วยมวลชนคนเสื้อเหลือง



          ถัดมา "กระทรวงศึกษา" เดิมเป็น "วังจันทร์เกษม" รัชกาลที่ 5 สร้างให้รัชกาลที่ 6 แต่มิทรงได้ประทับเพราะขึ้นครองราชย์เสียก่อน พอเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ถูกเวรคืน กลายเป็นกระทรวงศึกษาธิการ

      
   เริ่มจะค่ำแล้ว..รีบย่ำเท้าผ่าน "วังปารุสสวัน"  ข้ามไปบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ต้นถนน "ราชดำเนินกลาง" เดิมคือพระราชวังดุสิต ลานแห่งนี้ เมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน  2475 ก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ยืนอ่าน "ประกาศคณะราษฎร์ ฉบับที่ 1"
   “..ด้วยบัดนี้ คณราษฎร ได้จับพระบรมวงษานุวงษ์ ไว้เปนประกันแล้ว ถ้าผู้ใดขัดขวางคณราษฎร ผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษ และพระบรมวงษานุวงษ์จะต้องถูกทำร้าย..”




     แล้วเวลาต่อมา ได้มีการฝังหมุดทองเหลืองไว้ เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความสำเร็จในการดำเนินงานและเพื่อเป็นการยืนยันให้เห็นถึงเจตนารมย์ของคณะราษฎร์ที่นำระบอบประชาธิปไตยมามอบให้แก่ประชาชนเพื่อความเจริญของประเทศชาติสืบไป
         วันก่อน 24 มิถุนายน 2555 ก็เห็น "คณะราษฎรเก๊" มาอ่าน “ประกาศคณะราษฎร์ที่ 2” ก็ฮาเฮกันไป




      เหม่อมองไปเบื้องหน้า..เห็นพระที่นั่งอนันตสมาคมสวยงามสง่าแม้ความมืดเริ่มคลี่ปกคลุมภาพอดีตอันรุ่งโจนน์แห่งสมบูรณาญาสิทธิราช “เพื่อน”กระซิบปลุกจากภวังค์ว่า
     "ช่วงเย็นวันที่ 24 มิถุนายน 2475 มีการอัญเชิญธงมหาราช ซึ่งเป็นธงประจำพระองค์ของมหากษัตริย์ที่ประดับอยู่บนยอดโดมลง และชักธงไตรรงค์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชาติขึ้นสู่ยอดโดม ซึ่งได้โบกสะพัดต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้" 
     “ราชดำเนินนอก” ระยะทางเพียงสั้นๆ..แต่การเดินย่ำไปพร้อมกับการรำลึกอดีต..กลับกลายเป็นการเดินทางที่ยาวนานไม่หยอกเลยแฮะ!!


        


      แล้วฉันจะกลับมาย่ำ "ราชดำเนิน”เส้นทางที่เหลือ.. แต่ไม่คิดว่ามันจะยาวนานจนข้ามปี!! …

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ล่อง ‘รถไฟสายมรณะ’ เยื่อน..เพื่อนเก่าเจ้าถิ่น^^

“เมื่อไรจะมานั่งรถไฟเที่ยวกันล่ะ..รออยู่นะ (*-*)”

            10 วันผ่านไป..เจ้าประโยคยั่วยวน..ก็ชวนฉันมาเหยียบ @ สถานีธนบุรี ยามบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2555 !!


         หลังจากรอมแรมจากบ้านย่านสำโรงราว 10โมงเช้า นั่งสองแถวต่อสายรถเมล์สาย 23 โบกแท็กซี่ไปลงเรือ(ข้ามฟาก) เดินเรื่อยๆ เข้าโรงพยาบาลศิริราช 

ถามพี่ยาม “สถานีรถไฟอยู่ไหน?”
“ขึ้นสองแถวนั่นไปครับ เดินไกล..” พี่ยามบอกแกมบังคับ


         แป๊บเดียว สองแถวก็มาเกยที่ “สถานีรถไฟธนบุรี” บ่ายนิดๆ ยังมีเวลาอีกร่วมชั่วโมงกว่ารถไฟจะออกตอนราวๆ บ่าย2 โมง














 ควักบัตรประชาชนไปแลก “ตั๋วรถไฟฟรี” ขบวนที่ 259 จะไปถึง”สถานีกาญจนบุรีราวๆ 5 โมงเย็น




      
นักเที่ยว หนุ่มสาว ครอบครัว และชาวต่างชาติ(แบ็คแพ็ค) ต่างทยอยขึ้นไปจับจองที่นั่งกันอย่างหลวมๆ แต่ดูอบอุ่น ...เวลายังเหลือเฟือแวะเข้าซุ้มเครื่องดื่มสั่ง “ดีกรี” มาดับร้อน (อิอิ)




      ทอดอารมณ์ชิลๆ ริมชานชลา สายตาพลันเหลือบไปเห็น “ประกาศการรถไฟแห่งประเทศไทย” จ๊าก!! มันมีประกาศแบบนี้ตั้งแต่เมือ่ไหร่55++


                     ยังไม่สำนึกคับ...เค้าไม่ให้ดื่มที่ชานชลา ย้ายไปบนรถไฟก็ได้ (55) แม่ค้าบอกว่า ดื่มได้ เห็นซื้อขึ้นไปกินบนรถไฟกันเป็นลังๆ เอิ๊กๆ!!




     .....กินลม ชมวิว เพลินๆ 
เผลอแป๊บเดียว..ถึงแล้ว “สถานีกาญจนบุรี”….








 กริ๊ง กร๊าง หาเพื่อนเก่า...อยู่ไหนหว่า?!!
แล้วเพื่อนก็มาเกยที่ชานชลา พากันไปหา “ห้องพัก” เสร็จสรรพ พาไปกิน “ตีนไก่รสเด็ด” ยังไม่เปรม ขอแวะตลาดโต้รุ่ง หาอะไรหวานๆ แก้เมา (อิอิ) ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมบัวลอย ถูกกรอกลงท้อง..แล้วก็กลับห้องนอน



              จวน 3 ทุ่ม ลุกขึ้นอัตโนมัติ มีนัดกับร้านเหล้า บรรยากาศชิลๆ อาหารอร่อย ดนตรีไพเราะ เบียร์สดๆ กับโปรโมชั่น 5 ลิตรแจกร่ม ..จัดไป ได้ร่มมา 1 คัน...มานอนกอดสบายตัว 


         












          ตามโปรแกรมเช้านี้ (4 มิถุนายน) พวกเราจะจับรถไฟสายมรณะไปเที่ยวน้ำตกไทรโยคน้อย เช็คแล้วว่ารถไฟจะมาถึงสถานีกาญจนบุรี และจะมาถึงสถานีข้ามแม่น้ำแควราว 4 โมงเช้า ต้องไปจองตั๋วฟรีล่วงหน้า  



        



         พอ 9 โมงเช้า ก็แว้นไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว เพื่อไปซื้อตั๋ว เมื่อไปถึงช่องขายตั๋วปิดสนิท  รอแล้วรอเล่าจวนจะเที่ยง เจ้าหน้าที่ขายตั๋วเพิ่งจะมา แล้วก็บอกว่า “รถไฟจะมาถึงเที่ยง” แม้ว่าก่อนหน้าที่ จะทราบข่าวลือเป็นระยะๆ ว่า ที่รถไฟมาไม่ตรงเวลา เพราะเกิดอุบัติเหตุรถไฟชนกับรถยนต์ (จริงๆ แล้วเพิ่งมารู้ข่าวอีกวันว่า รถไฟชนรถแก๊ส) แต่คนขายตั๋วบอกว่า ที่ช้าเพราะเจ้าหน้าที่ตรวจรางรถไฟ?!?




                    จะอะไรก็ช่าง..พอเที่ยงหน่อยๆ รถไฟก็มาแว้ว..เย้ๆ















เป้าหมายเราอยู่ที่สถานีถ้ำกระแซไปถึงราวๆ 4 โมงเย็น 



ตรงนี้มีไฮไลท์ ตรงรางรถไฟอยู่ชิดติกขอบหน้าผา!!






                 นั้งแช่ได้แป๊บเดียวก็รอรถไฟ(ขบวนเดิม)กลับ..ตี๋ตั๋วรถตู้เข้าบางกอก ต่อรถไฟฟ้า(bts)..ต่อสองแถวกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพราวๆ 3 ทุ่มครึ่ง







                 เด็กๆ ที่บ้านเริ่มโวยวาย...หายไปไหนกันมา...ได้ยินเสียงร้อง “หิวๆๆๆ” หันไปดูชามข้าวเหมี๊ยว ไม่เหลืออาหารสักเม็ด 




           


  เฮ้ยคำนวณดีแล้วนร้า สงสัยฟาดหมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วซิท่า...ไอ้อ้วน!!
                      (^ _^)

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

“รถไฟ”ความทรงจำ..แสนหวาน(เย็น)






                                    คุณเคยนั่งรถไฟครั้งแรกเมื่อไหร่?


     
       คงสักเมื่อ 10 กว่าปีก่อนมั้งไม่ซิ แทบไม่ได้นั่ง(บนเก้าอี้-รถไฟชั้น 3)ด้วยซ้ำ ฉันยืนมาบนรถไฟสลับกับนั่งบนพื้นทางเดิน ซี่งมันมีพื้นที่ส่วนตัวแค่หนึ่งช่วงหน้าตัก ฉันไม่ได้จดจำหรอกว่ามันยาวนานกี่ชั่วโมง แต่มันเริ่มต้นจากสถานีรถไฟที่ตัวเมืองสุรินทร์ แล้วมาลงที่สถานีรถไฟหัวลำโพง กับภารกิจส่ง พระเพื่อนเข้าวัด

      มันเป็นความทรงจำที่พร่าเลือนแต่แจ่มชัดในความรู้สึก แม้จะอึดอัด เมื่อยขบแต่มันอบอุ่นไปด้วยผองเพื่อนหลายชีวิตที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ จังหวะที่แรงงานจากอิสานไหล่บ่าเข้าสู่ขบวนรถไฟเพื่อกลับไปขายแรงงานในเมืองใหญ่


      นั่นแหละประสบการณ์เดินทางด้วยรถไฟครั้งแรกในชีวิต!!
      หลังจากนั้น รถไฟ ก็กลายเป็นภาพฝันที่อยากจะได้ นอน บนรถไฟสักครั้ง นอนแบบว่า ตีตั๋วนอน จริงๆ นะ
 ผ่านไปหลายปี ก็มีโอกาสได้นอนบนรถไฟ มันเป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้น สมหวัง บรรลุความตั้งใจ ฉันได้นอนบนรถไฟแล้ว!!


 ด้วยภารกิจหน้าที่การงาน จากสถานีหัวลำโพงสู่สถานีเชียงใหม่ นับเป็นครั้งที่ 2ของชีวิตกับรถไฟ
และครั้งที่ 3 ไม่น่าจดจำเท่าไหร่ เป็นรถไฟขบวนด่วนพิเศษสายใต้ จากหัวลำโพงสู่สถานีสุราษฎร์ธานี เบาะปรับนอนไม่ต่างจากรถทัวร์แต่ดูกระด้างกว่ามาก มันไม่ คลาสสิก ไม่หวานเย็น ไม่ใช่รสนิยม”55++ในภารกิจส่งเพื่อนเข้าเรือนหอ
วันเวลาผ่านไปเนิ่นนานมาก จนหลงลืม รถไฟ ไปช่วงเวลาหนึ่ง พลันที่รัฐบาลประกาศให้ นั่งรถไฟ(ชั้น3)ฟรี ความอยากก็เข้าครอบงำอีกครั้ง คราวนี้ วางแผนเตรียมการเป็นอย่างดี ฉันจะไม่ยอมยืนบนรถไฟอีกเป็นอันขาด !!
แล้วก็ร่วมวางแผนแรมเดือน จับรถไฟฟรีไปกินลมชมวิวที่หัวหิน มีข้อแนะนำว่า ต้องไปตี๋ตั๋วก่อนรถไฟฟรีออก 1 ชั่วโมง ตามนั้น รถไฟออกราวๆ 9 โมงครี่ง ไปตีตั๋วราวๆ 8 โมง(แบบว่ากลัวตกขบวนรถไฟ) เอาเข้าจริงๆ ต้องไปนั่งรอรถไฟออกอีกเกือบชั่วโมง ก็ หวานเย็น กันไป ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง เบาะนั่งชั้น 3 ไม้แข็งๆ มันทรมานสิ้นดี

หลับแล้วตื่นขยับหลายร้อยรอบ ก็ยัง ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง กว่าจะถึงสถานีหัวหินปาเข้าไปบ่ายสองโมงกว่าๆ ขอปรบมือให้ตัวเองดังๆ ภารกิจ  นั่งรถไฟฟรีสำเร็จลุล่วง แล้ว ครั้งที่ 4 ของชีวิต

แต่ รถไฟ มันก็มีเสน่ห์ที่ชวนหลงใหล แม้ว่าจะรู้สึกอีดอัดกับช่วงเวลาอ้อยอิ่งจากการเดินทาง พอเวลาผ่านไปความคิดฝันก็มาสะกิดๆ ให้ตี๋ตั๋วรถไฟครั้งที่ 5  หัวลำโพง-เชียงใหม่ ฝันถึงตั๋วนอนรถไฟ แต่ทว่าฝันสลายๆ เพราะตั๋วนอนถูกจองเต็มไปหมดแล้ว (มัวแต่งมๆจองตั๋วรถไฟด้วยตนเอง โดยผ่านบัตรเครดิต) จนสำเร็จ สามารถใช้สิทธิ์จองตั่วผ่านบัตรเครดิตได้ แต่ทว่าตั๋วนอนหมดแล้ว จำใจซื้อตั๋วนอนรถไฟแอร์ มันไม่เท่ห์เอาเสียเลย เมื่อยจนเข็ดอย่าได้เจอกันอีกเลย รถไฟติดแอร์(เอิ๊กๆ) เพราะมันไม่มีตู้เสบียง!! “ดีกรี เลยไม่ตกถึงท้องตลอด 12 ชั่วโมง
รถไฟ กับ ความฝัน ค่อยๆ บรรเทาไปจนกระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนมาชวนไปเที่ยวกาญจนบุรี สะพานข้ามแม่น้ำแคว แล้วภาพฝัน รถไฟ ก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
แต่คราวนี้ ทำได้เพียงแค่ไปลูบๆ คลำๆ หัวจักรรถไฟที่จอดสงบนิ่ง..ที่สถานีรถไฟสายน้ำตกไทรโยคน้อย
แล้วความฝันมันก็ตามมาหลอกหลอนแล้วฉันนั่งรถไฟมาเยือนที่นี่อีกครั้งคอยดูซิ!!!